• หน้าหลัก
  • บริการของเรา
    • In-house and Virtual Training
    • Keynote Speaker
    • Course Online
  • สรุปเรื่องน่ารู้
    • บทความ
    • การเงิน
    • Podcast
    • เขียนได้ขายดี
  • เกี่ยวกับเรา
  • แจ้งชำระเงิน
  • ติดต่อสอบถาม
senseipae
  • หน้าหลัก
  • บริการของเรา
    • In-house and Virtual Training
    • Keynote Speaker
    • Course Online
  • สรุปเรื่องน่ารู้
    • บทความ
    • การเงิน
    • Podcast
    • เขียนได้ขายดี
  • เกี่ยวกับเรา
  • แจ้งชำระเงิน
  • ติดต่อสอบถาม

เขียนได้ขายดี

Home » นักเขียนรายได้เท่าไร? พอเลี้ยงชีพไหม

นักเขียนรายได้เท่าไร? พอเลี้ยงชีพไหม

  • Posted by วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (เซนเซแป๊ะ)
  • Categories เขียนได้ขายดี
  • Date 29 พฤษภาคม 2023
  • Comments 0 comment

“Find something you love to do, and you’ll never work a day in your life.”
–Harvey Mackay- นักเขียนขายดีของ New York Times

1. เมื่อความฝันกับความจริงอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

2016 เป็นปีที่ความฝันอยากเป็นนักเขียนผลิใบ ตอนนั้นผมยังทำงานประจำเป็นวิศวกรออกแบบรถยนต์ ชอบอ่านหนังสือ วินาทีที่เริ่มต้นเขียนหนังสือเล่มแรก ผมก็รู้ทันทีเลยว่านี่แหละอาชีพในฝัน

การได้ตื่นแต่เช้า นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดเสียงสายฝนเคล้าดนตรีเบา ๆ จิบกาแฟสักแก้ว พร้อมกับปล่อยให้จินตนาการและความรู้มาบรรจบกันเป็นข้อความที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนนั้น เป็นสิ่งที่ผมหลงใหลและมีความหมายกับชีวิต (ชั่วขณะที่นิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์ เขียนบทความนี้ ผมก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่ ^^)

แต่ก่อนจะมาเป็นนักเขียนจริง ๆ ผมก็ไม่เคยรู้ว่านักเขียนเป็น “สัมมาชีพ” หรืออาชีพสุจริตที่ใช้หาเลี้ยงชีพได้ไหม

แน่นอนว่าหากเราอยู่จุดสูงสุดของอุตสาหกรรมได้ ไม่ว่าอาชีพอะไร ก็สามารถอยู่ได้ เช่น J.K. Rowling ผู้แต่ง Harry Potter, Haruki Murakami เจ้าของ 1984, Norwegian Wood ที่สร้างยอดขายถล่มทลายทั่วโลก หรือ คุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ผู้รังสรรค์ผลงานระดับซีไรต์ “ความสุขของกะทิ” ที่มียอดจำหน่ายหนังสือในซีรีส์กว่า 500,000 เล่ม

นักเขียนทุกคนรวมถึงผมด้วยที่ฝันอยากจะยืนจุดนั้น แต่ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าคนเหล่านั้นคือคนจำนวนน้อยมากท่ามกลางเหล่านักเขียนนับล้านในโลก

และระหว่างการเดินทาง เราก็จำเป็นต้องมีเสบียงเลี้ยงปากท้อง การยืนอยู่บนความจริงว่ารายได้ของนักเขียนส่วนใหญ่เป็นเท่าไหร่ อุตสาหกรรมนี้ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังคงมีความสำคัญอยู่

นิยามของ “เลี้ยงชีพได้” ในที่นี้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางท่านบอกว่าถ้ามีรายได้สัก 30,000 บาทก็อยู่ได้ บางท่านก็อาจจะต้องมากกว่านั้น ในบทความนี้จึงอยากชวนมองภาพใหญ่ของอุตสาหกรรม แล้วให้ทุกท่านตัดสินใจด้วยตัวเองกันครับ

หมายเหตุ :

1. ก่อนเริ่มต้นอาชีพ ผมอยากอ่านบทความแนวนี้สุด ๆ เพราะการที่ใครสักคนจะตัดสินใจว่าจะประกอบอาชีพอะไรมันสำคัญมาก ดังนั้นถ้ามันจะยาวสักนิด มีตัวเลขข้อมูลเยอะกว่าที่คิดสักหน่อยก็ขออภัยด้วยนะครับ (จากใจวิศวกรเก่าที่อาชีพไม่ยินยอมให้ใช้แค่ความรู้สึกตัดสินใจ แต่ต้องใช้ข้อมูลด้วย)
2. ข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเลขการเงินส่วนใหญ่แปลงด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ

 

2. ภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมหนังสือโลก

อาชีพที่ดูแลตัวเองได้ควรมีคุณสมบัติสำคัญคือ ทำได้นานตราบเท่าที่เรายังทำงาน และถ้าจะให้ดีก็ควรมีขนาดของอุตสาหกรรมที่ใหญ่ขึ้น เพราะยิ่งเราชำนาญขึ้นก็ควรมีผลตอบแทนที่มากขึ้น ไม่น้อยลง

ยกตัวอย่างใกล้ตัวของบ้านภรรยาผมที่เดิมประกอบอาชีพสองอย่าง 1. ร้านหนังสือการ์ตูนให้เช่า 2. ร้านเกมคอมพิวเตอร์ เหตุผลที่บ้านเธอเลือกทำอาชีพนี้เพราะชอบอ่านการ์ตูนและบ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย

ทำอยู่ได้ราว 10 ปีก็ต้องปิดตัวลง เพราะคอมพิวเตอร์ราคาถูกลง นักศึกษาซื้อมาและเล่นเกมผ่านอินเทอร์เน็ตในหอพักได้ ส่วนการ์ตูนก็อ่านในเน็ตได้เช่นกัน การมาของอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ IT ราคาถูกก็ทำให้อาชีพนี้หายไป

ดังนั้นคำถามแรกที่ควรพิจารณาคือตลาดหนังสือใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงในภาพระดับโลกในอีกอย่างน้อย 10 ปีต่อจากนี้

ประเทศที่บริโภคหนังสืออันดับต้น ๆ ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้น คาดการณ์แนวโน้มขนาดตลาดว่าจะยังคงใหญ่ขึ้นแม้เป็นการเติบโตอย่างช้า ๆ ที่ 2.2% CAGR ระหว่างปี 2022-2030

เครดิตข้อมูล : www.grandviewresearch.com

ในขณะที่ขนาดของตลาดหนังสือทั้งโลก (Global Market Size) ในปี 2021 นั้นเท่ากับ 138 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวเป็น 142 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.6 ล้านล้านบาทไทย ในปี 2022 ซึ่งมากกว่ารายได้ทั้งปีของบริษัทอันดับหนึ่งในไทยอย่างปตท. เสียอีก

ถ้าคิดว่าคนไทยทั้งประเทศเติมน้ำมันกันทั้งปี ดื่มกาแฟแอมะซอนกันหลายล้านแก้วต่อปี ก็ยังน้อยกว่าเม็ดเงินที่คนทั้งโลกซื้อหนังสือรวมกัน ก็ยังพออุ่นใจได้ว่าตลาดนี้ใหญ่และยังคงเติบโตอยู่ (เย้)

แล้วนักเขียนระดับโลกที่เรารู้จักมีความมั่งคั่งเท่าไหร่กันบ้าง?

ผมลองค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดว่า “The richest authors in the world 2023” website ส่วนใหญ่จะแสดงผลดังนี้

5 อันดับนักเขียนที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงสุดปี 2023 (ล้านบาท)

ชื่อนักเขียน

ความมั่งคั่งสุทธิ

(ล้านบาท)

ประเทศ

หนังสือเด่น

Elisabeth Badinter

56,100

ฝรั่งเศส

The Conflict

J.K. Rowling

33,100

อังกฤษ

Harry Potter

James Patterson

26,400



สหรัฐอเมริกา

Alex Cross

Danielle Steel

19,800

The Gift

Stephen King

16,500

The Shining

ที่มา : https://www.edudwar.com/richest-authors-in-the-world/

ด้วยความมั่งคั่งสุทธิระดับ 33,100 ล้านบาทของ J.K Rowling เทียบได้การเป็นเจ้าของบริษัทมหาชนเช่น โรงพยาบาลวิภาวดี หรือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง AP Thailand ที่มีมูลค่าตลาดที่ 33,000-38,000 ล้านบาทในปี 2023 เลยทีเดียว

พูดภาษาชาวบ้านก็คือรวยโคตร ๆ กินใช้ไม่หมดในชาตินี้อย่างแน่นอน

แต่อย่างที่บอกไปว่าคนกลุ่มนี้คือนักเขียน Best Selling Authors of All-Time อยู่จุดสูงสุดของพีระมิดในอุตสาหกรรม แล้วคนอีกจำนวนมากที่ประกอบอาชีพนี้มีรายได้อยู่ที่เท่าไหร่

ข้อมูลจาก https://datausa.io/profile/soc/writers-authors

พบว่าในปี 2020 มีคนที่ประกอบอาชีพนักเขียนอยู่ราว 171,000 คนในสหรัฐอเมริกา มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 63,607 เหรียญต่อปีหรือราว 2,000,000 บาทต่อปี

ที่มา : https://datausa.io

แล้วตัวเลข 2,000,000 บาทต่อปีหรือ 175,000 บาทต่อเดือนนี้จะเกิดได้กับนักเขียนไทยด้วยหรือเปล่า เรามาหาคำตอบกัน

3. อุตสาหกรรมหนังสือและอาชีพนักเขียนในประเทศไทย

วิธีวิเคราะห์ว่านักเขียนไทยจะมีรายได้ระดับเดียวกับนักเขียนที่สหรัฐหรือไม่ทำได้หลายวิธี อันดับแรกลองดูจากภาพรวมของตลาดก่อน

เรารู้แล้วว่าในสหรัฐอเมริกา ตลาดหนังสือมีขนาดราว 3.67 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี และมียอดขายเติบโตราว 2.2% CAGR ในอีก 10 ปีข้างหน้า

สมมติฐานง่าย ๆ ก็คือถ้าตลาดหนังสือไทยมีขนาดไม่ห่างกันมากนัก รายได้ของนักเขียนโดยเฉลี่ยก็น่าจะใกล้เคียงและพอเลี้ยงชีพได้

ข้อมูลสถิติจากสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ในเอกสารเผยแพร่สาธารณะชื่อ “แถลงการณ์ที่สุดสิ่งพิมพ์ 2021” เราพบว่า

ขนาดตลาดของหนังสือเล่มในประเทศไทยนั้นใหญ่ราว 12,500 ล้านบาทต่อปีและเมื่อมองแนวโน้มก็มีขนาดลดลงทุกปีนับตั้งแต่ 2014 จนถึง 2020

ที่มา : https://pubat.or.th/

1,200,000,000,000 ล้านบาทของสหรัฐอเมริกากับ 12,500,000,000 ล้านบาทของไทยห่างกันราวเกือบ 100 เท่า!

แม้เชื่อว่าตัวเลขในปี 2566 น่าจะดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิดจบลง ตัวเลขขนาดตลาดจากแนวโน้มที่ลดลงก็น่าจะยังห่างกันกว่า 50 เท่าเป็นอย่างน้อยอยู่ดี (ประมาณ 40 เท่า ถ้าใช้ 29,300 ล้านบาทในปี 2557)

ถ้าเค้กก้อนเล็กกว่าเกือบ 50 เท่า ความน่าจะเป็นที่นักเขียนจะมีรายได้ใกล้เคียงกันที่ 175,000 บาทต่อเดือนย่อมมีน้อย

หมายเหตุ :
A. ตัวเลขข้อ PUBAT ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า “หนังสือเล่ม” หมายถึงหนังสือที่จับต้องได้อย่างเดียวหรือรวมหนังสือเล่มที่เป็นรูปแบบดิจิทัลด้วยนะครับ

B. อีกด้านก็เป็นโอกาสเช่นกัน สหรัฐอเมริกามีประชากร 331 ล้านคน ส่วนไทย 69 ล้านคน ห่างกันไม่ถึง 5 เท่า ปัจจุบันตลาดหนังสือของอเมริกาที่น่าจะเป็นอันดับ 1 ของโลกห่างกับตลาดของไทยอยู่ถึง 40-50 เท่า ก็หมายความว่าตลาดของไทยอาจจะสามารถขยายตัวได้อีกหลายเท่าเลย ถ้าอุตสาหกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกฝ่าย

อีกหนึ่งวิธีที่จะดูรายได้ต่อปีของนักเขียนนอกจากภาพใหญ่แล้ว เราอาจดูได้จากภาพเล็กหรือยอดขายหนังสือของนักเขียนคนที่เราพอหาได้ในตลาดไทยกัน

คนแรกที่ผมนึกถึงคือคุณ งามพรรณ เวชชาชีวะ เจ้าของซีรีส์ “ความสุขของกะทิ” เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาที่กระทรวงศึกษาแนะนำ ตีพิมพ์แล้วเกิน 100 ครั้ง นับตั้งแต่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2004

 

  หนังสือความสุขของกะทิ ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 100 (ที่มา naiin.com)

เฉพาะความสุขของกะทิเล่มแรกนั้นมียอดจำหน่ายครบ 500,000+ เล่มในช่วงเวลา 13 ปี (500,000/13 = 38,000 เล่มต่อปีโดยเฉลี่ย)

ที่มาของ 500,000 เล่มใน 3 ปี : https://www.naiin.com/product/detail/200085

หนังสือ 1 เล่ม นักเขียนมักได้ค่าลิขสิทธิ์ราว 8-15% ต่อราคาปก

เรามาลองคำนวณรายได้ต่อปีของตัวเอง หากเราสามารถสร้างผลงานระดับตำนานได้กัน แน่นอนว่างานเขียนระดับนี้ นักเขียนน่าจะได้ค่าลิขสิทธิ์สูงสุดที่ 15%

ราคาหนังสือ 125 บาท

ค่าลิขสิทธิ์ 15% ต่อเล่ม = 18.75 บาทต่อเล่ม

ขายได้เฉลี่ย 38,000 เล่มต่อปี

รายได้เฉลี่ยต่อปี = 712,500 บาทต่อปี (38,000*18.75)

รายได้เฉลี่ยต่อเดือน = 59,000 บาทต่อเดือน (หาร 12 ปัดเศษ)

อย่างที่บอกไป เป็นการยากที่จะตัดสินว่านักเขียนเป็นอาชีพที่เลี้ยงชีพได้ไหม เพราะความต้องการรายได้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน

จุดสังเกตอย่างหนึ่งคือนี่เป็นตัวเลขของนักเขียนระดับประเทศกับผลงานที่เป็นตำนานของเมืองไทย หมายความว่าในการเริ่มต้น นักเขียนทั่วไปที่เขียนหนังสือได้ปีละ 1 เล่มก็น่าจะมีรายได้ที่น้อยกว่านี้พอสมควร

4. ถ้ายังอยาก เขียน-อยู่-ได้ มีเส้นทางไหนให้เลือกเดินบ้าง

ถ้าจากการพิจารณาข้อมูลที่ผมให้ไป คำตอบของคุณคือ “รายได้จากการเขียนไม่พอ” แต่หัวใจก็ยังเรียกร้องโหยหาการเขียนอยู่

ไม่ต้องตระหนกไปครับ เราคือเพื่อนกัน

ส่วนตัวผมแม้จะชื่นชอบและหลงรักการเขียนชนิดที่ว่าถ้าเลือกประกอบอาชีพได้อย่างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องรายได้ อาชีพนักเขียนนี่แหละคือความหมายของชีวิตผม (หลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนกัน)

จากประสบการณ์ตรงในฐานะนักเขียนที่มีผลงานพอจะติดอันดับขายดีกับเขาอยู่บ้าง ก็ต้องยอมรับว่ารายได้จากค่าลิขสิทธิ์อย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์การเงินผมได้ (โปรดเห็นใจชายภรรยา 1 ลูก 2 ด้วยครับ ฮ่า ๆ)

 

ซีรีส์ หนังสือที่คนทำงานทุกคนต้องมีที่เขียนร่วมกับเซนเซเล็ก อันดับ 1 หมวดบริหารรายสัปดาห์จากการจัดอันดับของร้านหนังสือ se-ed

ซีรีส์เก่งเงิน เก่งลงทุน ที่เขียนร่วมกับไอดอลอย่างพี่แพท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม อันดับ 3 หมวดการเงินการลงทุนรายสัปดาห์

แต่ถ้าจะเลิกไปเลยแล้วทำอาชีพอื่นก็ไม่เอาเหมือนกัน ก็ในเมื่อเราค้นเจอแล้วว่าอยากทำอะไร ทำไมหาวิธีที่จะทำให้เราอยู่กับมันได้โดยที่รายได้ก็ตอบโจทย์แทนล่ะ

นั่งคิดอยู่พักใหญ่ก็ได้แผนที่แบบนี้มาครับ

แนวทางของมันคือทำอาชีพอื่นหรือใกล้เคียงที่งานเขียนจะส่งเสริมเกื้อกูลรายได้

อธิบายยาก ลองดูภาพประกอบจะดีกว่า

แผนภาพนี้อธิบายคนที่สร้างรายได้ต่างกัน 4 รูปแบบ แต่ทุกแบบสามารถจะสร้างรายได้จากงานเขียนได้เช่นกัน

กลุ่ม A: จะมีรายได้สองทาง ทางแรกจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือต่อเล่ม ทางที่สองคือกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หลังการขายหนังสือ

พูดอีกทางคือหนังสือเล่มเดิมยอดขายเท่าเดิมแต่มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 8-15% เป็นมากกว่านั้นนั่นเอง แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกกับการทำงานด้านบริหาร การตลาด การขายเพิ่ม และจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนหนึ่งในการเริ่มต้น (แถมต้องแบกรับโอกาสขาดทุนอีกด้วยนะ) กลุ่มนี้จึงน่าจะเหมาะกับนักเขียนระดับแม่เหล็กที่มีแฟนคลับติดตามมากระดับหนึ่งแล้ว

ตัวอย่างของคนกลุ่ม A: คุณเอ๋ นิ้วกลม (KOOB), คุณวินทร์ เลียววาริณ (Winbookclub), พี่หนุ่ม The Money Coach (Live Rich)

กลุ่ม B: นักธุรกิจ คือกลุ่มที่รายได้หลักไม่ได้มาจากงานเขียนหนังสือโดยตรง แต่สามารถใช้ทักษะเขียนและสื่อสารเป็นสิ่งเชื่อมโยงให้สินค้าบริการของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น มักพบเห็นได้ในกลุ่มคนที่มีธุรกิจของตัวเอง คนที่อยากเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์

สำหรับคนที่รักการเขียนเป็นหลัก ชอบมากกว่าที่จะมีพื้นที่สงบส่วนตัว ไม่ชอบการบริหารคนจำนวนมาก ไม่อยากเสี่ยงขาดทุน เส้นทางนี้ก็อาจจะไม่เหมาะนัก แต่สำหรับคนที่ตรงกันข้าม เริ่มต้นจากการทำธุรกิจมาก่อนและหลงรักหนังสือ การเขียนก็เปิดโอกาสดี ๆ ให้ชีวิตได้ไม่น้อยเช่นกัน

ตัวอย่างของคนกลุ่ม B: คุณรวิศ หาญอุตสาหะ (Srichand), อาจารย์หนุ่ย ณัฐพล ม่วงทำ เพจการตลาดวันละตอน (Data Service), คุณนพ พงศธร Co-founder Startup (Refinn)

กลุ่ม C: นักเขียนอาชีพ คือกลุ่มที่รายได้หลักมาจากการเขียนอย่างเดียว ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศก็ J.K. Rowling, Stephen King, Haruki Murakami, Higashino Keigo

กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่คนอ่านบทความนี้ใฝ่ฝัน (ผมด้วยนะ)

Haruki Murakami และ Stephen King เคยเล่าไว้ในหนังสือของพวกเขาว่าตื่นมาก็มักเริ่มงานเขียนเลย ใช้เวลาครึ่งเช้าค่อนไปบ่ายนิดหน่อยเขียนให้ได้ตามเป้าหมาย จากนั้นก็เป็นเวลาทิ้งตัว ออกกำลังกาย พักผ่อน เดินชอปปิง ใช้ชีวิต ดูหนัง ฟังเพลง โอ้ยยยยยยย อะไรมันจะดีขนาดนี้

ตัวอย่างคนกลุ่ม C: สำหรับประเทศไทย ยอมรับว่าผมนึกไม่ออกครับ ฮ่า ๆ ในความเป็นจริง คงมีอยู่ไม่น้อยสำหรับสายวรรณกรรม ที่ใกล้เคียงที่สุดตอนนี้ที่นึกออกก็อาจจะเป็น ดร.ป๊อบ ผู้แต่งวรรณกรรม The White Road และคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 ท่านก็มีทักษะอื่น ๆ อย่างการแปลหนังสือ (คุณงามพรรณ) สอนเขียน Copywriting (ดร.ป๊อบ) หรือเขียนคำโฆษณา

กลุ่ม D: ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มนี้อาจไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญบางอย่างที่สูงพอจะสร้างรายได้หลักโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นอาชีพอิสระหรืองานประจำ แต่งานเขียนของพวกเขาก็มักจะเกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญในอาชีพที่ทำและหนังสือก็จะเปิดโอกาสให้มีรายได้เพิ่มขึ้นตาม

ตัวอย่างคนกลุ่ม D: ดร.กฤตินีหรืออาจารย์เกด ผู้เชี่ยวชาญการตลาดแบบญี่ปุ่น ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ Podcaster ชื่อดัง ผู้เชี่ยวชาญการตั้งเป้าหมายแบบ OKRs

ผมตอนนี้ก็น่าจะถูกจัดอยู่ระหว่างกลุ่ม B และ D ครับ คือมีธุรกิจของตัวเอง สรุปให้ เป็น Media Education Company กับเป็นผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรบรรยายวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพและสอนคนที่อยากเขียนหนังสือให้ขายดีผ่านหลักสูตร How to Make Bestseller Book เขียนได้ขายดี

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองมาใส่หน้าคนในแต่ละกลุ่มลงไปกัน

 

ถ้ายังอยากเขียน-อยู่-ได้อย่างจริงจัง ลองเลือกรูปแบบที่ทำให้การเขียนอยู่ในชีวิตของคุณดูครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นไปตลอด ผมเองก็มีแแผนที่จะเปลี่ยนจากกลุ่ม D ไปเป็น A และ B ในอนาคตครับ

5. นักเขียน อาชีพที่ทำได้ตลอดชีวิต

นักเขียนเป็นอาชีพที่มีเสน่ห์หลายอย่าง ผลงานไม่ขึ้นกับยุคสมัยหรือชาติกำเนิด ขอเพียงคุณถ่ายทอดสิ่งที่โดนใจคนจำนวนมาก ก็ง่ายที่จะได้รับการยอมรับ

นอกจากนี้ยังไม่จำกัดอายุ เพศ วัย ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็มีแต่คำชื่นชม

“อายุน้อยแต่เขียนได้ดีมาก อายุขนาดนี้ยังเขียนได้เข้ากับยุคสมัย เก่งสุด ๆ ไปเลย”

หลักฐานยืนยันคำพูดผมคือการที่กินเนสส์บุ๊กรายงานว่านักเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์ผลงานด้วยวัยสูงที่สุดมีชื่อ Jim Downing เขาเขียนหนังสือที่ชื่อว่า The Other Side of Infamy ในปี 2016 ในวัย 102 ปีกับอีก 176 วัน

 

ที่มา : amazon.com และ audible.com

จากห้วงอารมณ์หลังจากนั่งเขียนบทความนี้ไปแล้วกว่า 4 ชั่วโมง ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าอย่างน้อย ๆ ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังเห็นตัวเองนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เขียนงานต่อไป (อาจจะใช้ AI ช่วยเขียนแทนพิมพ์เองตามยุคสมัย)

คงมีไม่กี่อาชีพที่ทำได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องคิดเรื่องเกษียณ ไม่ใช่มุมที่ว่าอายุเยอะแล้วก็ยังทำงานได้ ไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะมันเป็นความสุขที่ได้ตื่นเช้ามาได้สนุกกับชีวิตต่างหาก

เขียนไปด้วยกันนะครับ ^^

Post Views: 4
  • Share:
วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (เซนเซแป๊ะ)

• วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 200 รุ่น ในรอบ 3 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน
• อดีตผู้จัดการหน่วยวิจัยและพัฒนาระดับประเทศที่มีประสบการณ์ทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น 2 ปี
• Founder “เพจสรุปให้” เพจที่มีคน ติดตามกว่า 390,000 คน
• ผลงานด้านนักเขียน Best Seller 3 เล่ม

Previous post

ทำอย่างไรถึงจะเป็นนักเขียน Bestseller
29 พฤษภาคม 2023

Next post

วิธีกลั่นความรู้ลงสู่หนังสือ
30 พฤษภาคม 2023

You may also like

8 คุณสมบัติของหนังสือขายดี
15 มกราคม, 2024

1. เนื้อหาต้องดี : วิธีประเมิน คือ อ่านจ …

งานแบบไหนตกงานยาก
15 มกราคม, 2024

งานแบบไหนตกงานยาก เห็นข่าว Lazada ปลดพนั …

วิธีอ่านหนังสือให้สนุกกว่าเดิม 4 เท่า
8 มกราคม, 2024

เปิดปีใหม่มางานสำนักพิมพ์ก็เริ่มเข้า ทั้ …

Leave A Reply ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Categories

  • Podcast
  • การเงิน
  • บทความ
  • บทความ
  • เขียนได้ขายดี


เซนเซแป๊ะ วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 500 รุ่น ในรอบ 5 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน


คอร์สออนไลน์

  • S2 : Turn How To Make Japanese Style presentation
  • S11 : Super Productive Communication Tools
  • S24 : Japanese Time Management Mastery
  • S8 คอร์ส Story Telling with Data อย่าเป็นคนเก่งที่เล่าเรื่องไม่เป็น
  • S3+: Build Page 100,000 Likes
  • S21 : Master of Productivity

ติดต่อเรา

icon_FB
senseipae
icon_Line
@senseipae
icon_youtube
senseipae
icon_Email

senseipae@gmail.com
(จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.30 น.)


เซนเซแป๊ะ วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 500 รุ่น ในรอบ 5 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน

คอร์สออนไลน์

  • Super Productive Communication Tools
  • Management Mastery

ติดต่อเรา

icon_FB
senseipae
icon_Line
@senseipae
icon_youtube
senseipae
icon_Email

senseipae@gmail.com
(จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.30 น.)

© Powered by senseipae. 2022

Back to top