ความแตกต่างระหว่างหนังสือดีกับหนังสือ Bestseller

1. หนังสือดีไม่ได้หมายความว่าจะขายดีเสมอไป
“หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน หนังดีคือหนังที่เราชอบดู”
–อุดม แต้พานิช-
สำหรับผม หนังสือทุกเล่ม “ดี” ในแบบของมัน หนังสือดีของผมคือหนังสือที่ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น ขอแค่มีสักบท สักหน้า หรืออาจจะแค่ประโยคเดียวที่ทำให้ผมได้ฉุกคิดกับชีวิต มันก็ดีพอที่จะเรียกว่าหนังสือดีแล้ว
ยิ่งเมื่อมาเป็นนักเขียนหนังสือก็ยิ่งทำให้รู้ว่ากว่าจะเป็นหนังสือได้สักเล่ม ไม่ใช่แค่มีนักเขียนคนเดียว
แต่เราต้องมี บรรณาธิการ นักพิสูจน์อักษร นักออกแบบปกและคนอีกหลายคนทำหน้าที่ต่างกันถึงจะได้หนังสือออกมาให้เราพลิกหน้ากระดาษกวาดสายตาอ่านกัน
ดังนั้นหนังสือทุกเล่มจึงผ่านความตั้งใจของคนจำนวนมาก มันจึงดีพอสำหรับผมทุกเล่ม หน้าที่ของนักอ่านอย่างผมอาจคือการมองหาความดีที่ซุกซ่อนอยู่
แต่ถ้าเราเข้าไปที่ร้านหนังสือสักร้านในห้างสรรพสินค้าจะพบว่ามีหนังสือเกิน 1,000 ปก ยิ่งถ้าเป็นร้านใหญ่ระดับ Kinokuniya ในพารากอน หรือ B2S Think Space ก็อาจจะเกิน 10,000 ปกได้

เครดิตภาพวิกิพีเดีย ร้าน Kinokuniya สาขาสยามพารากอน
เราจะพบว่าในช่วงเวลาหนึ่ง จะมีหนังสือไม่กี่เล่มในบรรดาหนังสือนับพันที่ได้ตั้งอยู่ตรงกำแพงร้าน บ่งบอกสถานะความเป็นที่นิยมจากคนจำนวนมาก

หนังสือดีทุกเล่มจึงไม่ใช่หนังสือทุกเล่มที่ขายดีเป็น Bestseller
2. หนังสือประเภทไหนขายดีที่สุด
ข้อมูลจากผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย Website : https://pubat.or.th/ สรุปหมวดหนังสือที่มียอดสูงที่สุดในปี 2021 ไว้ดังนี้

เครดิตภาพ จาก เอกสารดาวน์โหลดฟรีของ PUBAT
จากการวิเคราะห์ของผม เด็ก เยาวชน เป็นกลุ่มที่การอ่านยังคงอยู่รอบตัวเขาผ่านการเรียนที่ต้องอ่านหนังสือเป็นประจำ สมเหตุผลที่จะเป็นอันดับ 1 นิยาย ที่อ่านเพื่อความบันเทิงกับอันดับ 2 คู่มือเรียน/คู่มือสอบ ที่อ่านเพื่อให้บรรลุหน้าที่ของตัวเอง
ในมุมของพ่อแม่ หากลูก ๆ จะซื้อหนังสืออะไร ผมก็คงไม่ทัดทาน เพราะอย่างไรการอ่านก็มีประโยชน์สำหรับเขา เด็ก ๆ น้อง ๆ เองก็คงคิดว่า ซื้อหนังสืออย่างน้อย คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไร
แม้นิยายจะมียอดขายเป็นอันดับ 1 ตามด้วย คู่มือเรียน คู่มือสอบ แต่สำหรับผม ขอเป็นตัวแทนคนที่ถนัดเขียนในหมวดที่ 3 พัฒนาตัวเอง และ 4 บริหารธุรกิจ ว่าถ้าเราเขียนได้ดีและรู้เคล็ดลับของการขายดี อย่างที่ผมชอบเล่าให้ผู้เข้าอบรมคอร์ส How to Make Bestseller Book เขียนได้ขายดีฟังแล้ว คุณก็จะรู้ว่าโอกาสยังเป็นของทุกคนครับ

เครดิตภาพ จาก เอกสารดาวน์โหลดฟรีของ PUBAT
หมวดการ์ตูน นิยายแปล สอดคล้องกับความต้องการในตลาด ส่วนบริหารธุรกิจและจิตวิทยาอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงเดิม ไม่เพิ่มหรือลดจนมีนัยสำคัญ
อีกข้อมูลที่เราได้ก็คือในทุกปี มีหนังสือใหม่ราว 18,000-22,000 ปกถูกตีพิมพ์ออกมา หมายความว่าในแต่ละวันจะมีหนังสือออกใหม่โดยเฉลี่ย 50-60 ปกถูกเติมเข้าไปในร้าน จะทำอย่างไรให้หนังสือของเราถูกเลือก
3. อะไรคือความแตกต่างระหว่างหนังสือดีกับหนังสือ Bestseller
ถ้าตอนนี้คุณกำลังเดินตรงเข้าไปร้านหนังสือโปรด มองเห็นหนังสือเรียงรายเต็มไปหมด เดินสำรวจหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงโซนหนังสือแนะนำ ตรงชั้นวางหนังสือที่เห็นแค่สันปกอย่างมีความสุข หยิบเล่มที่รู้สึกสนใจมาพลิกอ่าน ดูปกหน้าหลัง เปิดสารบัญ ดูว่าใครเป็นคนเขียน ดูเนื้อหา ภาพประกอบ
เวลาผ่านไปไม่นาน ในที่สุดคุณก็ตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนั้นมาไว้กับตัว เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ชำระเงินและนำมันกลับไปดองไว้ที่บ้าน ฮ่าฮ่าฮ่า
คำถามคือ “ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คุณซื้อหนังสือสักเล่ม”
คุณน่าจะได้คำตอบมากกว่าหนึ่งข้อและก็พบอีกเช่นเดียวกันว่า “เนื้อหา” ของหนังสือสำคัญ แต่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเหตุผล ไม่ใช่ทั้งหมด
ถ้าคุณเคยซื้อหนังสือเพราะชอบปก (ผมเคยซื้อเล่มเดิมเพราะมันเปลี่ยนปกด้วยนะ คุณก็อาจจะเคย) หรือคุณเคยซื้อหนังสือเพราะชื่อมันโดนใจ หรือคุณเคยซื้อแบบไม่คิดทันทีที่รู้ว่ามันคือเล่มใหม่ของนักเขียนในดวงใจ
ยินดีด้วย คุณกำลังเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าหนังสือ Bestseller มีอะไรมากกว่าแค่เนื้อหาดี
4. ถ้าจะเขียนหนังสือให้เป็น Bestseller นักเขียนควรรู้อะไรบ้าง
ในหลักสูตร How to Make Bestseller Book เขียนได้ขายดีนั้น ผมพูดเสมอว่าหนังสือ Bestseller นั้นนอกจากจะมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้คนแล้ว ยังต้องเข้าใจหลักการ 3P ด้วย
- People รู้พฤติกรรมของนักอ่าน
- Product มีทักษะในการเขียนที่ดี
- Publish มีความรู้พื้นฐานด้านการพิมพ์และการจำหน่าย

ทักษะการทำหนังสือให้เป็น Bestseller จากคอร์สเขียนได้ขายดี
1. People : รู้พฤติกรรมของนักอ่าน
ความผิดพลาดอย่างหนึ่งจนทำให้หนังสือเล่มแรกของผมไม่มียอดขายจนถึงวันนี้ คือ
“เขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเล่า โดยไม่ได้สนใจว่าคนอ่านอยากอ่านหรือไม่”
เวลาที่ชวนใครสักคนคุยในเรื่องที่เขาไม่ได้อยากฟังนั้นยากแค่ไหน การเขียนหนังสือที่ไม่มีใครอยากอ่านก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน
แม้เนื้อหาจะดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ก็ยากที่เขาจะให้ความสนใจ และอย่างที่เขียนไปในหัวข้อก่อนหน้าแล้วว่า ปัจจัยที่ทำให้นักอ่านตัดสินใจซื้อหนังสือสักเล่มมีมากกว่าแค่เนื้อหา หนังสือ Bestseller จึงต้องเข้าใจและใส่ใจสิ่งเหล่านี้ด้วย เช่น ปัญหาของเขาคืออะไร ชื่อหนังสือแบบไหนที่โดนใจ ปกแบบไหนที่ทำให้อยากหยิบ
ถ้าออกแบบหนังสือให้สอดคล้องกับการตัดสินใจซื้อหนังสือได้ ก็เป็นไปได้ที่จะขายดี คำแนะนำของผมคือหลังจากนี้ ทุกครั้งที่เข้าร้านหนังสือ ให้ลองมองในอีกมุมด้วยว่า ฉันตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะอะไร คำตอบเหล่านั้นแหละครับคือองค์ประกอบสำคัญของหนังสือ Bestseller
2.Product :มีทักษะการเขียนที่ดี
ปัญหาของนักเขียนมือใหม่ที่ผมเคยเป็นและพบเจอกับผู้เข้าอบรมบ่อย ๆ คือ มีข้อมูลพอ รู้ว่าตัวเองอยากเขียนอะไร แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เรียบเรียงยังไงให้เข้าใจง่ายและสนุก
ความลับที่ผมอยากบอกคุณคือจริง ๆ แล้วมันง่ายกว่าที่คิด
เพราะการเขียนเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถแยกมันออกมาเป็นขั้นตอนได้ รวมกับการมีเทคนิคที่ดีด้วยแล้ว เราอาจใช้เวลาราว 240 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นในการทำหนังสือไซซ์ A5 หนาสัก 200 หน้าได้
การเขียนเนื้อหาสำหรับหนังสือสักเล่ม สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญได้แก่ การกำหนดสารบัญให้ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการเล่า การเขียนเนื้อหาต้นฉบับให้ไม่ฟุ้งอยู่ในกรอบที่กำหนด และมีการเล่าเรื่องที่ทำให้ได้ทั้งความรู้และอยากรู้
เคล็ดลับที่ผมใช้ในการพัฒนาทักษะเขียนคือ อ่านหนังสือ Bestseller จำนวนมากแล้วถอดรหัสโครงสร้างการเขียน วิธีเล่าเรื่องเก็บไว้ จนปัจจุบันกว่า 15 ปีที่อ่านหนังสือจริงจังหลายร้อยเล่ม ผมได้วิธีการเขียนหนังสือให้จบ 100% ในเวลา 90 วันแล้ว 2 เทคนิคชื่อ “คิดก่อนเขียน” และ “เขียนก่อนคิด” มีผู้เข้าอบรมรุ่นที่ 2 อย่างคุณ “แคสเปอร์” ธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน ผู้บุกเบิก Startup ไทยในอาเซียน ไปลองทำก็เขียนต้นฉบับของตัวเองเสร็จภายในไม่ถึง 2 เดือนดี

ถ่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 29 กับคุณแคสเปอร์
ผู้เข้าอบรมคอร์ส เขียนได้ ขายดี รุ่นที่ 2
3. Publish : มีความรู้พื้นฐานด้านการพิมพ์และการจำหน่าย
ผลสำรวจจากเพจสรุปให้ที่มีผู้เข้าร่วมตอบคำถามกว่า 200 คน กับคำถามที่ว่าหนังสือราคาเท่าไหร่ที่รู้สึกว่าแพงโดยไม่เกี่ยงความหนา

แบบสำรวจวันที่ 7 มีนาคมในเพจสรุปให้ ที่มีผู้ติดตามกว่า 400,000 คน
ได้ข้อสรุปคร่าว ๆ ว่า ถ้าราคาหนังสือเกิน 400 บาท จะเริ่มรู้สึกแพง (โดยจำนวนหนึ่งตอบว่าขึ้นกับความคุ้มค่ามากกว่า)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ราคา” คืออีกปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อหนังสือสักเล่ม ต่อให้เนื้อหาดี ชอบชื่อปกแค่ไหน แต่หากแพงเกินงบที่มี ยอดขายก็ย่อมน้อยตาม
ดังนั้นนักเขียนเองก็พอจะต้องทราบต้นทุนพื้นฐานของหนังสือสักเล่มว่าถูกแพงเพราะอะไร หากจะพิมพ์ขายเองควรจะมีราคาที่เท่าไหร่ รูปแบบการพิมพ์ช่วยประหยัดต้นทุนได้มีอะไรบ้าง เช่น จำนวนสี จำนวนหน้า ปริมาณการพิมพ์ต่อครั้ง
นอกจากหนังสือแล้ว ช่วงเวลาวางจำหน่ายกับกิจกรรมหลังวางจำหน่ายก็สำคัญไม่แพ้กัน เหมือนภาพยนตร์ดีแต่ออกฉายพร้อมกับหนังฟอร์มยักษ์ที่มีคนรอชมจำนวนมากแถมยังมีการประชาสัมพันธ์ดี ภาพยนตร์ดีนั้นอาจจะทำยอดขายได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
โดยสรุปหนังสือ Bestseller นั้นมีองค์ประกอบรวมหลายอย่าง บางอย่างนักเขียนเป็นผู้ควบคุม บางอย่างก็ต้องได้สำนักพิมพ์ และร้านหนังสือสนับสนุน
5. เป็นนักเขียน (Bestseller) แล้วชีวิตเปลี่ยนจริงหรือเปล่า
สำหรับเรื่องนี้ผมคงไม่กล้าเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมเองได้ แต่ถ้าถามผมแล้ว การได้เป็นนักเขียนและกลายเป็นนักเขียนขายดีนั้น เปลี่ยนชีวิตผมได้มาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม
รายได้ของผมเพิ่มขึ้นจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือ ได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรต่าง ๆ ที่ไม่เคยคิดฝันจะได้ไปมาก่อน ได้เจอคนเก่ง ๆ ระดับประเทศในสังคม คนเหล่านี้มอบแรงบันดาลใจให้ผมอยากพัฒนาตัวเองในทุก ๆ วัน


ร่วมแสดงความยินดีกับพี่พอล ภัทรพล คุณถนอม TaxBugnoms, คุณโอมศิริ และ พี่หนุ่ม The Money Coach
แต่ที่ผมชอบมากที่สุดคือการได้รับคำขอบคุณจากคนที่อ่านหนังสือของเราแล้วได้ประโยชน์ คำขอบคุณเหล่านั้นทำให้ผมอยากที่จะเขียนหนังสือเล่มใหม่ไปเรื่อย ๆ

ตัวอย่างของคำขอบคุณที่ได้จากการเป็นนักเขียน
แม้หัวข้อนี้จะเน้นไปที่การเปรียบเทียบระหว่างหนังสือดีกับหนังสือ Bestseller ก็ตามแต่เชื่อผมเถอะครับว่าไม่ว่าจะเป็นหนังสือกลุ่มไหน มันจะเป็นประโยชน์กับผู้คนอย่างน้อย 1 คนแน่นอน
คนที่เขียนหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา
-หนังสือที่เราเขียนเปลี่ยนชีวิตตัวเราได้แน่นอน-
เซนเซแป๊ะ