• หน้าหลัก
  • บริการของเรา
    • In-house and Virtual Training
    • Keynote Speaker
    • Course Online
  • สรุปเรื่องน่ารู้
    • บทความ
    • การเงิน
    • Podcast
    • เขียนได้ขายดี
  • เกี่ยวกับเรา
  • แจ้งชำระเงิน
  • ติดต่อสอบถาม
senseipae
  • หน้าหลัก
  • บริการของเรา
    • In-house and Virtual Training
    • Keynote Speaker
    • Course Online
  • สรุปเรื่องน่ารู้
    • บทความ
    • การเงิน
    • Podcast
    • เขียนได้ขายดี
  • เกี่ยวกับเรา
  • แจ้งชำระเงิน
  • ติดต่อสอบถาม

เขียนได้ขายดี

Home » วิธีอ่านหนังสือเพื่อเป็นนักเขียน

วิธีอ่านหนังสือเพื่อเป็นนักเขียน

  • Posted by วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (เซนเซแป๊ะ)
  • Categories เขียนได้ขายดี
  • Date 31 พฤษภาคม 2023
  • Comments 0 comment

“If we want to write, it makes sense to read—and to read like a writer.”

ถ้าอยากจะเขียน มันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะต้องอ่านและอ่านแบบนักเขียน

Francine Prose ผู้แต่งหนังสือ Reading Like a Writer

ถ้ากินอาหารเพื่อลิ้มรสชาติกับเพื่อหาวิธีทำให้ได้นั้นไม่เหมือนกัน การอ่านหนังสือแบบนักอ่านกับการอ่านเพื่อเป็นนักเขียนก็ต่างกัน มาเรียนรู้วิธีอ่านหนังสือเพื่อเป็นนักเขียนกันครับ

1. กฎ 3 ข้อของการอ่านอย่างนักเขียน (ที่ช่วยให้คุณมีหนังสืออ่านฟรีตลอดชีวิต)

ความลับที่นักเขียนไม่ได้บอกคุณคือเขามักมีหนังสืออ่านฟรีตลอดชีวิต ได้จากสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ด้วย จากเพื่อนนักเขียนด้วยกัน หรือนำรายได้จากงานเขียนไปซื้อหนังสือที่ชอบ

กฎ 3 ข้อง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นนักเขียนได้คือ

  1. Structure: ไม่อ่านแค่เนื้อหาแต่อ่านที่มา
  2. Signature: เปลี่ยนสิ่งที่ได้ให้กลายเป็นภาษาตัวเอง
  3. Sharer: แบ่งปัน (สิ่งที่อ่าน) ในพื้นที่สาธารณะ

1. Structure: ไม่อ่านแค่เนื้อหาแต่อ่านที่มา

ที่มา : unsplash.com

สมมติว่าเราไปเที่ยวต่างประเทศ แวะเข้าร้านกาแฟ มองหาเมนูแปลกใหม่สักอย่าง เราคงจะสะดุดตากับ “Blue smurf 5 oz” ที่ตีกรอบน้ำเงินไว้อยู่บ้าง

 

ความแตกต่างระหว่างการดื่มแบบ “ผู้บริโภค” กับการดื่มแบบ “พ่อครัว”

ถ้ามองมุมผู้บริโภค คงคิดแค่ว่า “ชื่อเมนูแปลกดี ลองสั่งดีกว่า” แต่ถ้าใช้วิธีคิดของพ่อครัว อาจคิดว่า “ทำไมต้องตั้งชื่อแบบนี้ อะไรทำให้คนสั่งเมนูนี้เยอะ” แทน

วิธีคิดแบบแรกคือการ “เสพ หรือ บริโภค” ส่วนอย่างหลังคือการ “สร้าง หรือ หาวิธีทำ”

การอ่านแบบนักเขียนก็คล้ายกัน ควรถามตัวเองเสมอว่าที่อ่านไป “ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบ = ชอบเพราะอะไร ทำอย่างไรถึงจะเขียนได้แบบนี้” วิธีคิดแบบนักอ่านจะทำให้เราถอดรหัสการเขียนของคนเก่ง ๆ ไปใช้งานได้

ตัวอย่างเช่น หนังสือขายดีตลอดกาลของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ “ความสุขของกะทิ” สิ่งสะดุดตาตอนอ่านคือการตั้งชื่อในแต่ละบท

 

ที่มา : หนังสือความสุขของกะทิ, naiin.com

อ่านจบก็ได้ความว่า ชื่อบทเป็นสิ่งที่ กะทิ ตัวละครเอก พบเจอในทุกวัน เป็นคำคุ้นหู อ่านแล้วชวนนึกถึงบ้านต่างจังหวัดที่เรียบง่ายและร่มเย็น โดยผู้เขียนอยากสื่อว่าความสุขเกิดได้จากสิ่งรอบตัว 

บทเรียนที่ถอดได้ คือ ถ้าตั้งชื่อตอนให้รู้ว่าจะเจออะไรในเนื้อหาและทำให้อยากรู้ว่าผู้เขียนจะเล่าเรื่องอะไรในนั้น ไม่ต้องยืดยาวหรือเป็นคำสละสลวยก็สามารถสะกดใจคนได้

2. Signature: เปลี่ยนสิ่งที่ได้ให้กลายเป็นภาษาตัวเอง

“Learn from idol then do better in your own way” 

เรียนรู้จากไอดอลแล้วทำให้ดีกว่าในแบบของคุณ เป็นแนวคิดที่ผมใช้เสมอเวลาจะเขียนหนังสือสักเล่ม เราเป็นเหมือนคนอื่นไม่ได้ 100% และคนอื่นก็เป็นเหมือนเราไม่ได้เช่นกัน การอ่านหนังสือของนักเขียนในดวงใจ เคล็ดลับการเขียน (Structure) ของเขาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เราจำเป็นต้องเอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับให้เป็นอัตลักษณ์ของตัวเองด้วย

ตัวอย่างเช่น หนังสือการลงทุนหุ้นเล่มหนึ่งที่ผมชอบมากเพราะรู้สึกว่าอ่านสนุก เข้าใจง่ายกว่าทุกเล่มที่เคยมีมา คือ วิธีอ่านงบการเงินสำหรับลงทุนหุ้น

 

ตัวอย่างบางส่วนของเนื้อหาในหนังสือ วิธีอ่านงบการเงินสำหรับลงทุนหุ้น

ที่มา : สำนักพิมพ์พราว, naiin.com

เหตุผลที่เล่มนี้อ่านสนุก เข้าใจง่าย มี 3 อย่าง

  1. เป็นเรื่องเล่า
  2. มีภาพประกอบ
  3. ใช้การ์ตูนลายเส้น

ซึ่งไอเดียนี้ก็ทำให้ผมเกิดความคิดว่า ถ้าหนังสือหุ้นที่ว่าอ่านยาก ยังสามารถสนุกได้ขนาดนี้ มันก็น่าจะใช้ได้กับการเล่าเรื่อง “ทักษะแก้ปัญหางานที่ซับซ้อน” ได้เช่นกัน

เป็นที่มาของการนำคอนเซปต์ทั้ง 3 อย่างมาใช้ในหนังสือของตัวเองชื่อ “วิธีแก้ปัญหายากให้ง่ายที่คนเก่ง (บริษัทระดับโลก) ใช้” และกลายเป็นหนังสือ Bestseller ในหมวดบริหารได้ในที่สุด

ที่มา : ขายดีติดอันดับ 1 รายสัปดาห์หมวดบริหาร ร้านหนังสือ se-ed ทุกสาขาในระหว่าง 17-23 ธันวาคม 2562

ตัวอย่างเรื่องเล่า ภาพประกอบ และการ์ตูนลายเส้น ในหนังสือ

สังเกตว่าผมมีการปรับแต่งให้เป็นแบบของเฉพาะตัว ใส่กรอบให้อ่านง่ายเหมือนหนังสือการ์ตูน เล่าเส้นเรื่องที่สอดคล้องกับเนื้อหา การเขียนให้มีอัตลักษณ์หรือจุดเด่นของตัวเอง ช่วยให้คนจดจำได้ง่ายขึ้นแน่นอน

3. Sharer : แบ่งปัน (สิ่งที่อ่าน) ในพื้นที่สาธารณะ

การแชร์ในพื้นที่สาธารณะทำให้นักเขียนได้ประโยชน์หลายอย่างมาก

3.1 ได้ฝึกทักษะการเขียน
จริงอยู่ที่การเขียนแล้วอ่านเองก็ได้มุมที่ควรแก้ แต่การเขียนแล้วแชร์ เราได้ฟีดแบ็กจริงจากคนอ่านที่น่าจะสนใจหนังสือของเรา

3.2 ได้คนที่อาจเป็นลูกค้าเรา
เราไม่ได้ดึงดูดลูกค้าแต่เป็นคุณค่าที่เราส่งมอบการเขียนแล้วแชร์ ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเรามีคุณค่าอะไรบ้างที่เขายินดีซื้อบริการ หรือพูดอีกมุมคือเป็นการให้ทดลองใช้ฟรี ชอบก็ค่อยซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ได้เสียความรู้สึกอะไร

3.3 เพิ่มโอกาสที่จะมีสำนักพิมพ์มาติดต่อ
ส่วนตัวผมเชื่อว่ายุคสมัยของการส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์แล้วรอการตอบรับนั้นใกล้หมดแล้ว สำนักพิมพ์ยินดีที่จะร่วมงานกับนักเขียนที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งและมีผลงานเขียนให้เห็นว่าน่าจะขายได้มากกว่า (ผมก็มีสำนักพิมพ์สนใจชวนไปออกหนังสือด้วยหลังมีผู้ติดตามหลักหมื่นแล้ว)

ปัญหาใหญ่ คือ ความกลัวจะ “ดีไม่พอ” ของเราเองครับ ผมเองช่วงแรกก็เจอปัญหาเดียวกัน วิธีคิดที่ทำให้ผ่านมาได้คือ “ไม่มีใครสนใจเรื่องของเราหรอก คนอ่านสนใจว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไร” มุ่งมั่นเขียนสิ่งมีประโยชน์กับผู้อ่านให้มากที่สุด เก็บฟีดแบ็กที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า อดทนทำไปเรื่อย ๆ ให้นานพอ ผมเชื่อว่าสุดท้ายเราจะกลายเป็นนักเขียนที่ดีได้แน่นอน

ถ้าวันนี้คุณอ่านหนังสือแล้วเริ่มรู้สึกอยากปล่อยของ ลองเริ่มมาอ่านหนังสือแบบที่นักเขียนอ่านดู รับรองว่าจะสนุกขึ้นอีกหลายเท่าเลย และที่สำคัญอาชีพจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีนักอ่าน เห็นด้วยไหมครับ ^^

“I can’t write without a reader. It’s precisely like a kiss—you can’t do it alone.”
“ฉันไม่สามารถเขียนได้หากไม่มีผู้อ่าน มันเหมือนกับการจูบ—คุณไม่สามารถทำคนเดียวได้”

-John Cheever- นักเขียนนิยาย เรื่องสั้น

Post Views: 2
  • Share:
วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (เซนเซแป๊ะ)

• วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 200 รุ่น ในรอบ 3 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน
• อดีตผู้จัดการหน่วยวิจัยและพัฒนาระดับประเทศที่มีประสบการณ์ทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น 2 ปี
• Founder “เพจสรุปให้” เพจที่มีคน ติดตามกว่า 390,000 คน
• ผลงานด้านนักเขียน Best Seller 3 เล่ม

Previous post

วิธีกลั่นความรู้ลงสู่หนังสือ
31 พฤษภาคม 2023

Next post

-ได้ดี เพราะเกรด D Dogs-
2 มิถุนายน 2023

You may also like

8 คุณสมบัติของหนังสือขายดี
15 มกราคม, 2024

1. เนื้อหาต้องดี : วิธีประเมิน คือ อ่านจ …

งานแบบไหนตกงานยาก
15 มกราคม, 2024

งานแบบไหนตกงานยาก เห็นข่าว Lazada ปลดพนั …

วิธีอ่านหนังสือให้สนุกกว่าเดิม 4 เท่า
8 มกราคม, 2024

เปิดปีใหม่มางานสำนักพิมพ์ก็เริ่มเข้า ทั้ …

Leave A Reply ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Categories

  • Podcast
  • การเงิน
  • บทความ
  • บทความ
  • เขียนได้ขายดี


เซนเซแป๊ะ วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 500 รุ่น ในรอบ 5 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน


คอร์สออนไลน์

  • S2 : Turn How To Make Japanese Style presentation
  • S11 : Super Productive Communication Tools
  • S24 : Japanese Time Management Mastery
  • S8 คอร์ส Story Telling with Data อย่าเป็นคนเก่งที่เล่าเรื่องไม่เป็น
  • S3+: Build Page 100,000 Likes
  • S21 : Master of Productivity

ติดต่อเรา

icon_FB
senseipae
icon_Line
@senseipae
icon_youtube
senseipae
icon_Email

senseipae@gmail.com
(จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.30 น.)


เซนเซแป๊ะ วิทยากรและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีงานบรรยาย มากกว่า 500 รุ่น ในรอบ 5 ปี ส่งมอบความรู้ให้คนไทยมากกว่า 5,000 คน

คอร์สออนไลน์

  • Super Productive Communication Tools
  • Management Mastery

ติดต่อเรา

icon_FB
senseipae
icon_Line
@senseipae
icon_youtube
senseipae
icon_Email

senseipae@gmail.com
(จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.30 น.)

© Powered by senseipae. 2022

Back to top